ของ 4G สามารถดาวน์โหลดไฟล์ หนังระดับ 4K หรือ 8K หรืออัลบั้มเพลงได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที ไม่มีสะดุด การสืบค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ผ่าน Mobile Internet ก็ทำได้ในเวลาเสี้ยววินาที หรือการใช้งานแบบเรียลไทม์ มากยิ่งขึ้น
อัตราการตอบสนองได้ที่รวดเร็วในระดับที่น้อยกว่า
สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ เช่น การผ่าตัดทางไกล รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ หรือ การควบคุมเครื่องจักรในโรงงานหรือในพื้นที่ก่อสร้างจากระยะไกล เป็นต้น
Super High Upload Speed เชื่อมต่อโลกออนไลน์ได้อย่างเร็วกว่า แรงกว่า
Support 8K Ultra HD รับชมสตรีมมิ่งคอนเทนต์ความคมชัดสูงระดับ 8K ได้อย่างไม่มีสะดุด ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนไทยยุคมิลเลนเนียล
Ultra Low Latency ด้วยค่าความหน่วงต่ำกว่า 10 มิลลิวินาที จึงตอบสนองได้เร็วยิ่งกว่าสามารถสั่งงานและควบคุมสิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วด้วยความเสถียรสูงสุด
5G SA ต่างจาก 5G NSA อย่างไร 5G SA (5G Standalone) คือ 5G ที่ไม่ได้ใช้ 4G สำหรับฟังก์ชันการควบคุมใดๆ ซึ่งต่างจาก 5G ประเภท Non-Standalone (NSA) ที่ยังต้องทำงานร่วมกับ 4G เดิมอยู่
โดยข้อได้เปรียบที่สำคัญของ 5G แบบ Standalone (SA) คือรองรับการใช้งานเครือข่าย 5G แบบแยกส่วน (Network Slicing) ทำให้ใช้เวลาในการประมวลผลของแต่ละโปรแกรมน้อยกว่าแบบ Non-Standalone (NSA) ซึ่งส่งผลให้ค่า latency หรือค่าความหน่วงลดลง
5G SA ครอบคลุมพื้นที่ใดบ้าง 5G SA รองรับ Network Coverage เท่ากันกับพื้นที่ที่เปิดให้บริการ 5G NSA อยู่ในปัจจุบัน
สมาร์ทโฟน ที่รองรับ 5G SA HUAWEI P40 Pro, HUAWEI P40 Pro+, SAMSUNG S21 5G, SAMSUNG S21 PLUS 5G, SAMSUNG S21 ULTRA 5G
เทคโนโลยีที่รวมคลื่นความถี่ 5G ขยายความสามารถในการรับ-ส่งข้อมูลได้เร็วขึ้น 1.7 เท่า เพื่อให้ 5G สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ดียิ่งขึ้น โดยมีจุดเด่นที่สามารถทำให้คลื่นความถี่ทั้ง 2 ย่าน คือ ความถี่กลาง 2600MHz และย่านความถี่ต่ำ 700MHz ผสมผสาน ส่งเสริมกันและกัน ซึ่งจะช่วยทำให้ การใช้งาน 5G มีศักยภาพสูงขึ้น อัปโหลดและดาวน์โหลดได้เร็วขึ้น และทะลุทะลวงในพื้นที่ที่มีข้อจำกัด
เทคโนโลยี EN-DC คือ เทคโนโลยีมาตรฐานใหม่ของยุค 5G ที่เครือข่ายและสมาร์ทโฟน สามารถรวมประสิทธิภาพจากทุกคลื่นความถี่ รวมความเร็วทั้งจาก 4G และ 5G เข้าด้วยกัน ทำให้เกิดความเร็วสูงสุด ยิ่งมีคลื่นความถี่กว้าง ยิ่งทำให้ความเร็วเต็มประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้น